- เผยแพร่เมื่อ: วันจันทร์, 13 มกราคม 2563 19:08
หัวใจเป็นอวัยวะที่ตั้งอยู่ในช่องอก ระหว่างปอดทั้งสองข้าง ขนาดเท่ากับกำปั้นของผู้เป็นเจ้าของหัวใจแบ่งออกเป็น 4 ห้อง โดยแต่ละห้องจะมีลิ้นหัวใจมีหน้าที่คล้ายประตูปิดเปิด เพื่อควบคุมการไหลเวียนของเลือด ไม่ให้เลือดไหลย้อนกลับ
การรักษาโรคลิ้นหัวใจ
การรักษาโรคลิ้นหัวใจสามารถรักษาโดยการใช้ยา การใช้ลูกโป่ง (Balloon) ขยายลิ้นหัวใจ และการผ่าตัด
ชนิดของการผ่าตัดหัวใจ
- การถ่างขยายลิ้นหัวใจ
- การซ่อมลิ้นหัวใจอาจใช้ขอบลิ้นหัวใจช่วยในการซ่อม
- การเปลี่ยนลิ้นหัวใจ โดยใช้ลิ้นหัวใจเทียม ซึ่งมี 2 ชนิด ได้แก่ ลิ้นหัวใจเทียมที่ทำจากเนื้อเยื่อของสิ่งมีชีวิต ซึ่งอยู่ได้นาน 15 – 20 ปี และลิ้นหัวใจที่ทำจากโลหะ จะอยู่ได้นานกว่าลิ้นหัวใจที่ทำจากเนื้อเยื่อสัตว์ แต่ต้องรับประทานยาละลายลิ่มเลือดไปตลอดชีวิต
การผ่าตัดหัวใจ
การผ่าตัดผ่านกระดูกกึ่งกลางหน้าอก เข้าไป แผลยาวประมาณ 1 คืบ ใช้เวลาในการผ่าตัด ประมาณ 3 – 5 ชั่วโมง ตลอดระยะเวลาการผ่าตัดผู้ป่วยจะได้รับความดูแลจากทีมแพทย์ วิสัญญี และพยาบาลอย่างใกล้ชิด
ทำไมต้องผ่าตัดเปลี่ยนลิ้นหัวใจ
ลิ้นหัวใจมีหน้าที่ควบคุมทิศทางการไหล ของเลือดให้ผ่านเข้าออกหัวใจ เมื่อเกิดความผิดปกติที่ขัดขวางการไหลเวียนเลือด อาจนำไปสู่ภาวะหัวใจล้มเหลวและส่งผลต่อการใช้ชีวิต ซึ่งผู้ป่วยอาจมีอาการดังนี้ หายใจลำบากเมื่อออกแรง นอนราบ และมักมีอาการเวลากลางคืน, ใจสั่น, เจ็บหน้าอก, ไอหรือไอมีเลือดปน, บวมบริเวณอวัยวะส่วนปลาย
เตรียมตัวอย่างไรก่อนการผ่าตัด
- ผู้ป่วยจะได้รับสารน้ำทางหลอดเลือดดำ สวนอุจจาระ และต้องงดน้ำและอาหารหลังเที่ยงคืนวันก่อนผ่าตัด
- เช้าวันผ่าตัด ผู้ป่วยควรทำความสะอาดร่างกายและเปลี่ยนเสื้อผ้าชุดใหม่ ไม่ควรทาลิปสติกทาสีเล็บและทาแป้งบริเวณลำตัว
- ถอดเครื่องประดับต่าง ๆ ฟันปลอม รวมทั้งฝากทรัพย์สินมีค่า ไว้ที่ญาติหรือพยาบาลหอผู้ป่วย
ที่ห้องผ่าตัด
- ผู้ป่วยจะพบเจ้าหน้าที่สวมชุดห้องผ่าตัด สวมหมวก และผ้าปิดปากปิดจมูก
- อากาศภายในห้องผ่าตัดจะเย็น ผู้ป่วยสามารถแจ้งเจ้าหน้าที่ได้
- เพื่อความปลอดภัยในระยะการผ่าตัด ผู้ป่วยจะได้รับการวัดความดันโลหิต วัดออกซิเจนในเลือด ตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ เป็นต้น
การปฏิบัติตัวหลังผ่าตัด
หลังผ่าตัดผู้ป่วยจะคาท่อช่วยหายใจ คาสายสวนปัสสาวะ และท่อระบายเลือด น้ำล้างจากการผ่าตัดที่ชายโครงขวา และดูแลต่อเนื่องที่ไอซียู
- ควรพลิกตะแคงตัว เพื่อให้สารคัดหลั่งระบายได้ดี และกระตุ้นการไหลเวียนเลือดให้กลับสู่สภาพปกติให้เร็วขึ้น
- หลังผ่าตัดผู้ป่วยอาจจะรู้สึกเจ็บหน้าอกแบบลึกๆ หน่วงๆ ตื้อๆ ซึ่งบรรเทาได้ด้วยยาแก้ปวด
การปฏิบัติตัวของผู้ป่วยเมื่อกลับบ้าน
- แผลหลังผ่าตัด 7 – 14 วัน ถ้าแผลแห้งดี ผู้ป่วยสามารถอาบน้ำได้ ในระยะที่มีอาการเหนื่อยง่ายควรนั่งเก้าอี้และไม่อาบน้ำที่ร้อนมากเพราะอาจทำให้รู้สึกใจหวิวและเป็นลมได้ ถ้าแผลยังไม่แห้งสนิทดี ควรทำแผลทุกวัน และระวังไม่ให้แผลเปียกน้ำ หากพบว่ามีอาการเจ็บตึง บวม แดง ร้อน มีน้ำเหลืองหรือหนองบริเวณขอบแผลควรไปพบแพทย์ รพ. ใกล้บ้าน หรือ รพ. ลำปาง
- รับประทานอาหารครบ 5 หมู่ โดยควรเป็นอาหารที่เค็มน้อย รสไม่จัด งดอาหารหมักดอง ชา กาแฟ รวมทั้งเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์
- ควรนอนหลับในเวลากลางคืนวันละ 8 – 10 ชั่วโมง หากทำกิจกรรมแล้วรู้สึกเหนื่อยควรพัก ครั้งละ 20 -30 นาที
- ในระยะ 2 สัปดาห์แรก ผู้ป่วยสามารถทำงานเบา ๆ ได้ เช่น เก็บกวาดบ้าน แต่ไม่ควรทำงานที่ต้องออกแรงมากยกของหนักหรือขับรถ จนกว่าครบ 6 สัปดาห์ หรือเมื่อแพทย์อนุญาต จึงเริ่มทำงานปกติได้
- ควรวางแผนการออกกำลังกาย โดยเพิ่มเวลาขึ้นวันละนิด ไม่หักโหม เช่นการเดิน เป็นการออกกำลังกายที่ดีที่สุด หากมีอาการเจ็บแน่นหน้าอก เวียนศีรษะ หน้ามืด จะเป็นลม ใจสั่น หอบเหนื่อย ต้องหยุดพัก และควรแจ้งให้แพทย์ทราบในการนัดครั้งต่อไป
- ผู้ป่วยสามารถมีเพศสัมพันธ์ได้ เมื่อทดสอบสุขภาพ โดยการขึ้นลงบันไดได้มากกว่า 3 รอบแล้วไม่รู้สึกเหนื่อย ถ้ารู้สึกเหนื่อยหรือเครียด ไม่ควรมีเพศสัมพันธ์
มาพบแพทย์ตามนัดเพื่อติดตามอาการ