เกิดข้อผิดพลาด
  • เทมเพลตที่ใช้แสดงผลในส่วนนี้ไม่สมบูรณ์กรุณาติดต่อผู้ดูแล

Uncategorised

ทดสอบข่าว12

ทดสอบข่าว12

การผ่าตัดเนื้องอกในสมอง

 

เนื้องอกในสมอง

หมายถึง เนื้องอกที่เกิดขึ้นจากเนื้อสมองรวมถึงเนื้องอกของเส้นประสาทสมอง เนื้องอกของเยื่อหุ้มสมอง เนื้องอกของต่อมใต้สมอง เนื้องอกของบริเวณฐานกะโหลก ที่ลุกลามเข้าไปที่สมอง และมะเร็งของอวัยวะอื่นที่แพร่กระจายมาที่สมอง

 

เนื้องอกสมอง แบ่งออกเป็น 2 ชนิดคือ

  1. เนื้องอกของตัวสมองเอง
  2. เนื้องอกของอวัยวะที่อยู่รอบ ๆ ลุกลามมาที่สมอง เช่น เนื้องอกของเยื่อหุ้มสมอง เนื้องอกของเส้นประสาทต่าง ๆ เนื้องอกที่ปอดและเนื้องอกที่เต้านม เป็นต้น

 

 อาการเป็นอย่างไร

  • ขึ้นอยู่ว่าเนื้องอกอยู่ตำแหน่งใด แต่ส่วนมาก ผู้ป่วยจะมีอาการปวดศีรษะ อาเจียน  และอยู่ๆก็มีอาการชัก  ซึ่งไม่เคยชักมาก่อน
  • ถ้าเนื้องอกสมองไปกดส่วนที่ควบคุมกล้ามเนื้อแขนขา อาจทำให้มีการอ่อนแรงของกล้ามเนื้อแขนขา
  • ถ้าไปกดทำลายส่วนที่ควบคุมการพูดคุย ผู้ป่วยจะสูญเสียความสามารถในการเขียน อ่าน หรือ การพูดคุย
  • ถ้าไปทำลายการทรงตัว ผู้ป่วยจะมีอาการเดินเซ  พบมากในผู้ป่วยเด็ก หรือถ้าไปกดเบียดเส้นประสาทตาจะมีอาการตามัว

 

รักษาอย่างไร                                      
       1.  การผ่าตัดเอาก้อนเนื้องอกออก
       2. การฉายรังสี
       3. การให้ยาเคมีบำบัด
    ผู้ป่วยแต่ละรายอาจจะใช้วิธีใดวิธีหนึ่ง  หรือใช้ทั้ง 3 วิธีร่วมกัน  ขึ้นอยู่กับว่าเป็นเนื้องอกชนิดใด

 

เตรียมตัวอย่างไรเมื่อได้รับการผ่าตัด

  • หากมีโรคประจำตัว เช่น เบาหวาน ความดันโลหิตสูง โรคหัวใจ ท่านจำเป็นต้องให้แพทย์ผู้ทำการรักษาควบคุมภาวะดังกล่าวให้ดี ก่อนเข้ารับการรักษา
  • หยุดยาที่มีผลต่อการแข็งตัวของเลือด และเกล็ดเลือด เช่น แอสไพริน ยาต้านการแข็งตัวของเลือด และยาแก้อักเสบทุกชนิด โดยต้องแจ้งให้แพทย์ พยาบาลทราบก่อนวันผ่าตัด
  • ควรหยุดสูบบุหรี่ หรือสูบให้น้อยที่สุด ก่อนผ่าตัด อย่างน้อย 4 สัปดาห์
  • ขอความร่วมมือจากญาติ ในการบริจาคเลือด เพื่อเตรียมไว้ใช้ในการผ่าตัด
  • ไม่ควรนำของมีค่ามาโรงพยาบาลเพราะ อาจสูญหายได้ และถอดเครื่องประดับทุกชนิดที่เป็นโลหะ ก่อนเข้าห้องผ่าตัด
  • ถอดฟันปลอมฝากญาติไว้ ถ้าฟันโยกต้องแจ้งให้เจ้าหน้าที่ทราบด้วย  เพราะฟันอาจหลุดตกเข้าไปในหลอดลม ซึ่งเป็นอันตรายถึงชีวิตได้
  • งดน้ำงดอาหารก่อนการผ่าตัดอย่างน้อย 6-8 ชม. เพื่อป้องกันการสำลักอาหาร ยกเว้น กรณีฉุกเฉินที่ต้องรักษาทันที
  • เตรียมผิวหนังโดยการโกนผม
  • ผู้ป่วยจะได้รับสารน้ำทางเส้นเลือดดำ  และคาสายสวนปัสสาวะ

 

 

หลังผ่าตัด    

  • ผู้ป่วยอาจคาท่อช่วยหายใจไว้สักระยะหนึ่ง จนกว่าแพทย์พิจารณาว่าปลอดภัย จึงจะถอดท่อช่วยหายใจและผู้ป่วยหายใจได้ด้วยตนเอง
  • ผู้ป่วยจะมีแผลผ่าตัดทีศีรษะและมีท่อระบาย ควรระวังไม่ให้ท่อระบายเลื่อนหลุด
  • ผู้ป่วยบางราย อาจเอากะโหลกบางส่วนออกชั่วคราว จึงต้องระมัดระวังไม่ให้มีการกดทับบริเวณนั้น

 

วิธีการดูแลตนเองของผู้ป่วย

  • ผู้ป่วยควรจะเข้ารับการรักษาตามที่แพทย์กำหนดไว้
  • ผู้ป่วยควรจะได้รับการรักษาให้ครบทุกขึ้นตอน เพราะหลังการผ่าตัดผู้ป่วยต้องทำกายภาพบำบัดตามระยะเวลาที่กำหนดไว้ ซึ่งจะช่วยฟื้นฟูความสามารถที่สูญเสียไปให้ฟื้นตัวกลับมาเร็วขึ้น
  • แพทย์อาจจะนัดมาตรวจเป็นระยะ ๆ เพราะเนื้องอกบางอย่างที่ผ่าตัดไปแล้ว มีโอกาสที่จะงอกออกมาใหม่ได้อีก

 

วิธีการป้องกันโรค  

เนื้องอกสมองส่วนใหญ่ ไม่ทราบสาเหตุชัดเจน จึงยังไม่มีวิธีการป้องกัน แต่อย่างไรก็ตามมีเนื้องอกสมองบางชนิดที่กระจายมาจากอวัยวะอื่น ๆ มาที่สมอง เช่น มะเร็งปอดที่พบว่ากระจายมาที่สมอง จึงควรลดความเสี่ยงในการเกิดโรค เช่น งดสูบบุหรี่  จะช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคนี้น้อยลง

 

สรุป

เนื้องอกสมองบางชนิดสามารถรักษาให้หายขาดได้ แต่อย่างไรก็ตามผู้ป่วยที่มีภาวะเจ็บป่วยช่วยเหลือตนเองไม่ได้หรือช่วยเหลือตนเองได้น้อย จำเป็นที่จะต้องได้รับการดูแลจากครอบครัวในการสนับสนุนด้านกำลังใจ ด้านการดูแลสุขภาพ เช่น การพาผู้ป่วยไปตรวจตามแพทย์นัด หรือการพาผู้ป่วยไปทำกายภาพบำบัด  การสนับสนุนของครอบครัวจะทำให้ผู้ป่วยมีอาการดีขึ้น กลับมาเป็นปกติได้ดังเดิม

การผ่าตัดคลอดทางหน้าท้องที่มีภาวะช่องเชิงกรานไม่ได้สัดส่วนกับขนาดของศีรษะทารก

 

ภาวะช่องเชิงกรานไม่ได้สัดส่วนกับขนาดของศีรษะทารก (Cephalopelvic disproportion : CPD) หมายถึง มีความแตกต่างของขนาดศีรษะทารก และอุ้งเชิงกราน ซึ่งทำให้ทารกไม่สามารถคลอดทางช่องคลอดได้ หรือ อาจเกิดจากการที่ทารก มีการบิด หรือ เงยทำให้เส้นผ่าศูนย์กลางของศีรษะใหญ่เกินกว่าจะผ่านช่องเชิงกรานลงมาได้

 

อาการและอาการแสดง

โดยการตรวจภายใน ในช่วงเจ็บครรภ์คลอด พบว่าศีรษะของทารกไม่เคลื่อนต่ำลงมา หรือ ปากมดลูกไม่มีการเปิดเพิ่มขึ้น มดลูกหดรัดตัวบ่อยและแรง เพื่อผลักดันให้ทารกเคลื่อนต่ำ   แต่ทารกไม่สามารถเคลื่อนต่ำได้ จึงทำให้ส่วนนำมาอัดแน่นในช่องเชิงกราน ดังนั้นเมื่อมดลูกหดรัดตัวบ่อย  ส่วนบนของมดลูกจะดึงรั้งให้มดลูกส่วนล่างขยายและบางลง   ซึ่งสามารถมองเห็นรอยคอดตามขวางของหน้าท้อง และอยู่ต่ำกว่าระดับสะดือเล็กน้อย ซึ่งถ้าปล่อยทิ้งไว้จะทำให้มดลูกแตก

  

การรักษา

การผ่าตัดทำคลอด (Cesarean section) หมายถึง การผ่าตัดเพื่อคลอดทารกผ่านรอยผ่าที่หน้าท้อง และรอยผ่าที่ผนังมดลูก ในช่วงอายุครรภ์ที่ทารกสามารถมีชีวิตรอดได้ ซึ่งโดยปกติแล้ว  แพทย์จะผ่าท้องทำคลอดก็ต่อเมื่อมีเหตุผลทางการแพทย์ โดยพิจารณาในรายที่ไม่สามารถคลอดทางช่องคลอดได้เอง หรือ คลอดได้ แต่อาจก่อให้เกิดอันตรายต่อมารดา หรือ ทารก การผ่าตัดทำคลอดแบ่งเป็น 2 ชนิด

  1. การผ่าตัดคลอดแบบดั้งเดิม (classical Caesarean section) เป็นการผ่าตามแนวตั้งตรงกลางของมดลูก ซึ่งให้พื้นที่กว้างในการทำคลอดทารก แต่ในปัจจุบันไม่นิยมเพราะเสี่ยงต่อการเกิดภาวะแทรกซ้อนมากกว่า
  2. การผ่าตัดคลอดชนิดตัดส่วนล่างของมดลูก (lower uterine segment section) เป็นการผ่าตัดที่นิยมทำในปัจจุบัน เป็นการตัดในแนวขวางเหนือขอบของกระเพาะปัสสาวะ ซึ่งช่วยให้เสียเลือดน้อยกว่า และเย็บซ่อมได้ง่ายกว่า

โดยขนาดของแผลยาวประมาณ 4-5 นิ้ว และใช้เวลาในการผ่าตัดประมาณ 1 ชั่วโมง

 

 

วิธีการให้ยาระงับความรู้สึก

 ในการผ่าตัดคลอดทางหน้าท้อง มี 2 วิธี

  1. การให้ยาระงับความรู้สึกแบบทั่วไป : ผู้ป่วยจะไม่รู้สึกตัวขณะผ่าตัด
  2. การใช้ยาระงับความรู้สึกทางไขสันหลัง (Spinal block) : ผู้ป่วยจะรู้สึกตัวขณะผ่าตัด แต่จะชาตั้งแต่เอวถึงปลายเท้า ภาวะแทรกซ้อนที่อาจพบได้ คือ ปวดศีรษะ ปวดหลัง

  

สิ่งที่ผู้ผ่าตัดคลอดจะได้รับก่อนผ่าตัด

  1. ผู้ผ่าตัดคลอดลงนามยินยอมเข้ารับการผ่าตัด
  2. ต้องงดอาหาร และน้ำทางปากอย่างน้อย 8 ชั่วโมง ยกเว้นในกรณีผ่าตัดฉุกเฉิน
  3. ได้รับการทำความสะอาดและโกนขนบริเวณสะดือและท้องน้อย ตำแหน่งที่จะลงแผลผ่าตัด
  4. ได้รับสารละลายทางหลอดเลือดดำ
  5. ได้รับการคาสายสวนปัสสาวะ เพื่อไม่ให้กระเพาะปัสสาวะโป่งพอง ขัดขวางการหดรัดตัวของมดลูก และป้องกันอันตรายต่อกระเพาะปัสสาวะขณะผ่าตัด ส่วนการสวนอุจจาระจะทำให้ทวารหนักและลำไส้ใหญ่ไม่มี / มีอุจจาระน้อยที่สุด  ยกเว้นรายที่มีข้อห้าม

 

การปฏิบัติตัวหลังผ่าตัด

  1. งดน้ำและอาหารหลังผ่าตัด  12 - 24 ชั่วโมงแรก ในวันถัดมาสามารถดื่มน้ำ รับประทานอาหารเหลวและอาหารอ่อนได้ตามลำดับ
  2. ถ้าปวดมาก สามารถขอยาแก้ปวดได้
  3. สายสวนปัสสาวะจะเอาออกหลังผ่าตัด 12 -24 ชั่วโมงแรก
  4.  กระตุ้นให้ทารกดูดนมได้ในวันแรกหลังผ่าตัด เพื่อช่วยให้น้ำนมมาเร็วขึ้น และยังเป็นการสร้างสายสัมพันธ์ระหว่างมารดาและทารก
  5. ควรลุกนั่ง ลุกเดินใกล้ๆ เพราะการเปลี่ยนอิริยาบถได้เร็ว จะช่วยให้ลำไส้ทำงานได้เร็ว ท้องไม่อืด ลดการเกิดพังผืดในช่องท้อง และป้องกันการเกิดภาวะลิ่มเลือดอุดตัน

 

การปฏิบัติตัวเมื่อกลับบ้าน

  1. ดูแลแผลผ่าตัดไม่ให้แผลผ่าตัดโดนน้ำ ถ้าแผลผ่าตัดแห้งดี  สามารถอาบน้ำได้ตามปกติ หากเย็บแผลด้วยไหมละลายไม่ต้องตัดไหม  แต่ถ้าเย็บด้วยไหมธรรมดาต้องตัดไหมเมื่อครบ  7 วัน ที่โรงพยาบาล / สถานีอนามัยใกล้บ้าน
  2. ทำความสะอาดร่างกาย และอวัยวะสืบพันธุ์หลังจากการขับถ่ายทุกครั้ง โดยล้างจากด้านหน้าไปด้านหลัง และเปลี่ยนผ้าอนามัยทุก 3-4 ชั่วโมง
  3. รับประทานอาหาร ที่มีประโยชน์ เน้น โปรตีนและธาตุเหล็ก เช่น เนื้อ นม ไข่ ผัก ผลไม้ ดื่มน้ำอย่างเพียงพอ งดอาหารหมักดอง เครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์และไม่ควรซื้อยามารับประทานเอง
  4. ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ ไม่หักโหม และงดการมีเพศสัมพันธ์อย่างน้อย 6 สัปดาห์
  5. ควรให้บุตรดูดนมมารดาอย่างน้อย 6 เดือน
  6. ควรกลับมาพบแพทย์ ถ้ามีอาการผิดปกติดังต่อไปนี้  มีไข้ มีน้ำหรือเลือดออกจากแผลผ่าตัด ปวดแผลมากขึ้น แผลบวมแดง มีหนองหรือน้ำคาวปลาออกปริมาณมากขึ้น เป็นสีแดงตลอด  สีไม่จางลงหรือนานกว่า 2 สัปดาห์ น้ำคาวปลามีกลิ่นเหม็น หลังคลอด 2 สัปดาห์แล้วยังคลำมดลูกได้ทางหน้าท้อง เต้านมอักเสบ กดเจ็บ แดง  ถ่ายปัสสาวะบ่อย แสบ

การผ่าตัดกระดูกสันหลังตีบรัดเส้นประสาท

สาเหตุของโรค

  1. รูปร่างท่าทางไม่ถูกสุขลักษณะ เช่น คนอ้วนลงพุงการหมุนบิดตัวขณะก้มยกของ
  2. หมอนรองกระดูกสันหลังเสื่อม
  3. หมอนรองกระดูกสันหลังโป่งนูน
  4. ความเสื่อมของกล้ามเนื้อ และเส้นเอ็นที่หุ้มกระดูกสันหลัง

 

อาการของโรค

  1. อาการปวดตามเส้นประสาท มักปวดสะโพกร้าวลงทางด้านหลังต้นน่องถึงปลายเท้า
  2. อาการมึนหรือชาบริเวณขา เหมือนเป็นเหน็บชา
  3. อาการอ่อนแรงของกล้ามเนื้อ
  4. ในรายที่มีอาการมาก อาจเกิดปัญหาของระบบขับถ่าย เช่น ปัสสาวะไม่ออก กลั้นอุจาระไม่ได้

 

การรักษา

  1. การรักษาด้วยการรับประทานยา
  2. การรักษาโดยการทำกายภาพบำบัด
  3. การรักษาโดยการฉีดยาระงับการอักเสบที่เส้นประสาท
  4. การรักษาด้วยการผ่าตัด

 

การผ่าตัดกระดูกสันหลังตีบรัดเส้นประสาท

เป็นการผ่าตัดเพื่อเอาส่วนที่ตีบรัดเส้นประสาท เช่นกระดูกและพังผืดตรงตำแหน่งที่ทำให้เกิดอาการปวดและชานั้นออก

 

การตรวจวินิจฉัย

  1. การฉีดสารทึบรังสีเข้าช่องไขสันหลัง
  2. การตรวจด้วยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า
  3. การตรวจเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ (CT Scan)
  4. การตรวจด้วยสารกัมมันตภาพรังสี

 ทั้งนี้แพทย์ที่ทำการรักษา  จะเป็นผู้ให้คำแนะนำการตรวจวินิจฉัยเพิ่มเติม   ที่เหมาะสมให้กับผู้ป่วยเฉพาะรายไป

 

ผู้ป่วยที่มีข้อบ่งชี้ในการผ่าตัด

  1. ผู้ป่วยที่เดินเพียงระยะสั้น ๆ ประมาณ 50-100 เมตร แล้วปวดจนต้องหยุดพัก
  2. ผู้ป่วยที่มีอาการปวดมากจนทนไม่ไหว ใช้ชีวิตประจำวันตามปกติได้ลำบาก
  3. ผู้ป่วยที่มีอาการชาและอ่อนแรงอย่างชัดเจนของขา
  4. ผู้ป่วยที่มีปัญหาขับถ่ายผิดปกติ จากการกดทับเส้นประสาท

 

การเตรียมตัวก่อนการผ่าตัด

การเตรียมตัวก่อนการผ่าตัดที่ถูกต้องจะช่วยลดโอกาสเกิดภาวะแทรกซ้อนที่อาจจะเกิดขึ้นจากการผ่าตัด

  1. ผู้ป่วยลงนามในใบยินยอมรับการผ่าตัด
  2. การทำความสะอาดร่างกาย งดน้ำและอาหารหลังเที่ยงคืน และได้รับสารน้ำทางหลอดเลือดดำ
  3. การตรวจเลือด คลื่นไฟฟ้าหัวใจ และเอกซเรย์ปอด
  4. การเตรียมเลือด 1-2 ยูนิต
  5. ถ้ารับประทานยาห้ามการแข็งตัวของเลือด หรือยาแอสไพรินต้องหยุดยาก่อนผ่าตัด 7 วันต้องแจ้งแพทย์ พยาบาลก่อนผ่าตัด
  6. พยาบาลที่หอผู้ป่วย จะใส่สายสวนปัสสาวะให้ผู้ป่วยก่อนที่จะส่งมาห้องผ่าตัด

 

ท่านจะพบอะไรที่ห้องผ่าตัด

เมื่อถึงห้องผ่าตัด ผู้ป่วยจะหยุดรออยู่ที่จุดรอผ่าตัดประมาณ 30 นาที ซึ่งญาติ สามารถเข้ามาดูแล หรือให้กำลังใจท่านได้ไม่เกิน 2 คน โดยมีพยาบาลห้องผ่าตัดคอยดูแลท่านระหว่างรอผ่าตัด   เมื่อใกล้เวลาผ่าตัด เจ้าหน้าที่ห้องผ่าตัดจะนำท่านเข้าไปยังห้องผ่าตัด จากนั้นท่านจะได้รับการระงับความรู้สึกโดยดมยาสลบโดยทีมวิสัญญีแพทย์และพยาบาล

 

ท่านจะพบสิ่งใดบ้างหลังผ่าตัด

มีบาดแผลบริเวณบั้นเอวด้านหลัง มีสายระบายเลือดต่อจากแผลผ่าตัดซึ่งจะใส่ไว้ประมาณ 1-2 วัน และคาสายสวนปัสสาวะไว้ประมาณ 2-3 วันจนกว่าผู้ป่วยจะเริ่มช่วยเหลือตัวเองได้

 

ควรจะปฏิบัติตนอย่างไรในวันแรกหลังผ่าตัด

ให้นอนราบทับแผลผ่าตัด หรือนอนตะแคงซ้าย/ขวา โดยพลิกลำตัวพร้อมกันทั้งตัว ไม่บิดหรือเอียงลำตัว การผ่าตัดที่ได้รับการดมยาสลบหลังผ่าตัดควรบริหารปอดโดยการสูดหายใจเข้าออกแรงๆ หรือเป่าลูกโป่งให้ปอดขยายตัว ป้องกันภาวะปอดแฟบ

 

ข้อปฏิบัติหลังการผ่าตัด

  1. ควรสวมอุปกรณ์พยุงเอวทุกครั้ง เมื่อลุกนั่ง ยืน เดิน อย่างน้อย 4-6 สัปดาห์
  2. ควรนั่งนานไม่เกินครั้งละ 45 นาที ในช่วง 3 สัปดาห์แรกหลังการผ่าตัด
  3. ไม่ควรบิดหรือเอี้ยวตัวแรงๆ 6-8 สัปดาห์แรกหลังการผ่าตัด
  4. ไม่ขึ้นบันไดเกิน 2 ครั้งต่อวัน ภายใน 3 สัปดาห์แรกหลังการผ่าตัด
  5. ควรใช้ส้วมชักโครก หรือ เก้าอี้เจาะรูในการขับถ่าย

 

อิริยาบถต่างๆ เพื่อป้องกันอาการปวดหลังซ้ำ

ท่านอนหงาย : หนุนหมอนพอรู้สึกสบาย ใช้หมอนรองใต้เข่าทั้งสองข้าง ให้งอเข่าเล็กน้อย

ท่าลุกจากที่นอน : ควรลุกช้าๆ ค่อยๆ เลื่อนตัวชิดขอบเตียง และตะแคงตัว งอเข่าและสะโพก ใช้ฝ่ามือและศอกยันที่นอนดันตัวให้ลุกขึ้น พร้อมกับหย่อนเท้าลงแตะพื้น ขณะทำต้องให้หลังตรง

การลงนอน : ให้นั่งบนเตียง เอนตัวลงช้าๆ ใช้มือและข้อศอกยันกับพื้นเตียง ไหล่แตะพื้นเตียงซึ่งอยู่ในท่าตะแคง แล้วเปลี่ยนเป็นนอนหงาย

ท่านั่งเก้าอี้ : ควรใช้เก้าอี้พอดีกับตัวผู้นั่ง นั่งหลังตรงพิงพนักเก้าอี้เต็มที่ เท้าวางกับพื้นพอดี

การลุกจากที่นั่ง : โน้มตัวมาข้างหน้าเล็กน้อย ใช้มือยันพื้นเก้าอี้หรือพนักแขน ดันตัวขึ้นช้าๆ หลังตรง การนั่งลงให้ทำเช่นเดียวกัน โดยย้อนทางกับการลุก

การนั่งกับพื้น : ไม่ควรนั่งพับเพียบ เพราะเป็นท่าที่ร่างกายอยู่ในภาวะเสียสมดุลมาก เลือดไหลเวียนไม่สะดวก ควรขยับเปลี่ยนท่าบ่อยๆ และนั่งหลังตรงจะช่วยให้กล้ามเนื้อได้สมดุล ท่านั่งขัดสมาธิจะมีภาวะสมดุลต่อหลัง และท่านั่งยองๆ ช่วยผ่อนคลายอาการปวดหลัง

ท่ายืน : ต้องหลังตรง เก็บคางแขม่วท้อง หย่อนก้น ให้ยืนหย่อนขาเล็กน้อย ไม่ควรยืนนานเกิน 30 นาที

การเดิน : เดินตัวตรง ก้าวขาด้วยความมั่นคง แกว่งแขนเล็กน้อย สวมรองเท้าสบายๆ ไม่สวมรองเท้าส้นสูง

การยกของจากพื้น : ย่อเข่าให้หลังตรงเสมอแล้วหยิบของ แล้วค่อยๆ เหยียดข้อเข่าและสะโพกขึ้นมาในลักษณะหลังตรง ถือของให้ชิดลำตัวเพื่อลดการทำงานของกล้ามเนื้อหลัง

การหิ้วของ : ถ้าของหนักมากควรแบ่งเป็นสองส่วนเท่าๆ กัน และหิ้วสองมือ

 

ท่าบริหารร่างกายเพื่อผ่อนคลายกล้ามเนื้อ